- application ส่วนใหญ่ ที่พูดถึงในรายการ ไม่ต้องมี 3G ก็ใช้งานได้ อยู่แล้ว
- พฤติกรรมการใช้ text ของไทยกะญี่ปุ่นต่างกัน
- ญี่ปุ่นห้ามใช้โทรศัพท์พูดระหว่างอยู่บนรถไฟ
- ถามคนญี่ปุ่นโทรศัพท์ 3G ที่มีข้อมูลส่วนตัวหายแล้วทำไง คนญีปุ่นตอบว่ามันมี GPS ตามได้ว่าอยู่ที่ไหน ในคนไทยคงต้องการคำตอบว่าสิทธิส่วนบุคคลจะถูกละเมิดหรือไม่ซึ่งคนญี่ปุ่นเขาไม่มีปัญหานี้เพราะเขาคิดว่ามันไม่เกิดกะเขา
ทีนี้ ทำไมเราถึงอยากมี 3G ก็คงเป็นเพราะคุณต้องการแบนด์วิท 7 Mbit เป็นหลักแหละ แต่ว่า
- เราคิดว่าจะมี apps อะไรต่างจากปัจจุบันมากมาย ปัจจุบันเราอยู่มหาวิทยาลัยใช้ wifi 54Mbit เราก็ไม่มี app อะไรพิสดารให้ใช้จากความเร็วของ wifi มากนัก
- การที่เรามีช้ากว่าคนอื่น ก็น่าจะไปลองดูนะว่าผ่านมาสามปีแล้วคนอื่นมีอะไร ใช่ครับ ไปญี่ปุ่นคุณเห็น apps ใหม่ๆเพียบ แล้วที่อื่นในโลกหละทำอะไรกันกะ 3G เช่นที่อเมริกา
- นึกดูดีดีมี app อะไรที่คุณโหลดมาใช้บน iPhone หรือ Android ของคุณแล้วมันจำเป็นต้องใช้ 3G อย่างมากสุดๆ ผมเห็นอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ 3G คือ navigation/map คุณลองดูแล้วกันนะว่าคุณใช้ wifi โหลดผ่าน Google map แล้วมันเร็วแค่ไหนก็เห็นๆกันอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ ทำไม พวก navi ทั้งหลายต้องโหลดแผนที่ off-line ไว้ก่อน
- คุณจะโหลดหนัง HD มาดูบนมือถือหรือครับ
- แน่นอน 7 Mbit โหลด youtube 15 นาทีดูได้ ถามว่าคุณโหลด youtube ผ่าน wifi ที่มหาลัย แล้วมันดูได้ต่อเนื่องไม๊
- โอเค โหลด mp3 ขนาด 4-5Mได้สะดวก คำถามก็คือคุณต้องการจริงเหรอ ในมือถือคุณมีเพลงกี่เพลงแล้วครับ ผมเดาว่า เพลงในเครื่องคุณมีเป็นหมื่นเพลง ฟังทั้งปีก็ฟังไม่หมด
- คุณอาจมีหนังเป็นหมื่นเรื่องเพิ่มเติมในมือถือคุณ ซึ่งก็คงจะไม่ได้ดู ซึ่งประเด็นนี้คุณทำ offline sync ซะมากกว่า
ใครได้/เสียประโยชน์ในการมีหรือไม่มี 3G
- แน่นอน ผู้บริโภคเสียประโยชน์แน่ครับ และยิ่งถ้าหากไม่มีการแข่งขันเสรียิ่งไปกันใหญ่
- เมื่อต้องมี 3G บริษัทต้องลงเงินลงทุนเพิ่มเยอะมาก แต่บริษัทก็ต้องพร้อมลงทุนเพิ่มเพราะไม่อยากเสียโอกาสทางธุรกิจ แต่ถามว่า เขาจะคิดค่าบริการมากกว่าเดิมได้มากเท่าไรเชียวครับเพื่อครอบคลุมการลงทุนใหม่ครั้งนี้ แรกๆอาจจะได้ เหมือนตอนมีมือถือขายกันใหม่ ใช้กันเดือนหละเท่าไรกันหละครับ จำกันได้ไม๊ แล้วดูสิครับเมื่อเข้าถึง mass แล้วราคาเท่าไรครับ ผมเดาว่าค่าบริการ 3G ในระยะที่ stable แล้วก็จะไม่ต่างจาก gprs ในปัจจุบันและ จะไม่มีทางแพงกว่า Home ADSL ในขณะนั้นครับ
- สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนี้ ผมว่าลึกๆเขาก็สบายใจระดับหนึ่ง ที่ถูกปิดสนามแข่ง อย่างน้อยเงินลงทุนก็เอาไปทำอื่นก่อนได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะตามใครไม่ทันหรือแซงในการแข่งขันสนามประเทศไทย
- ถ้าไม่มี 3G คนขาย 3G infrastructure คงเซ็งเพราะ ขายของล๊อตใหญ่ครั้งสุดท้ายคือขายระบบ GSM เมื่อกี่ปีมาแล้วหว่า เครื่องก็ดันยังไม่เจ๊ง คนใช้ก็ยัง happy ที่จะใช้ เลยสร้างความต้องการผู้บริโภคโดยการเสนอ apps ใหม่ๆให้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มี apps แบบ โดนใจไม่ใช้ตายแน่ สักอย่างเดียวครับ
พูดไป ผมมองโลกแง่ร้ายจัง ผมบอกว่าผมมองจากประวัติศาสตร์การก้าวข้ามเทคโนโลยีครับ ผมเปรียบเทียบให้อย่างนี้นะครับ
- การมี 2G (GSM/CDMA) มันก็เหมือนการกระโดดจาก โมเด็ม 54K มาเป็น LAN 10Mbit/100Mbit แหละครับ คุณจะรู้สึกดีมากๆกับมัน เพราะมันทะลุขีดจำกัดบางอย่าง อย่างเห็นได้ชัดครับ แรกๆใช้ 10M แล้วสักพักก็มีการเปลี่ยนมาเป็น 100M ซึ่งผมคิดว่าช่วงนั้นการเปลี่ยนความเร็วขึ้น 10 เท่าก็ไม่ทำให้ชีวิตคุณดีกว่าเดิมมากมายอะไร
- แต่การกระโดดจาก 2G เป็น 3G มันก็เหมือนกับคุณมี LAN 100M อยู่แล้วมีคนบอกว่าคุณจะเสียโอกาสอย่างมากถ้าคุณไม่ปรับเป็น LAN 1GB ก็คิดดูเอาว่าคุณได้อะไรเพิ่มเติม
- มีคนบอกผมว่า คุณจะได้โอกาสที่จะได้ app ดีๆเพิ่มขึ้นครับ จริงครับ แต่ผมอัพ LAN เป็น 1G แล้วผมก็ยังดู youtube กระตุกเหมือนเดิม เพราะ public infrastructure มันไม่ได้อัพเกรดตามมานี่ครับ มันต่างกันกับตอนใช้โมเด็มครับ ตอนนั้นดู youtube ไม่ได้เลย
- จากเรื่อง เปลี่ยนโมเด็ม มาเป็น LAN ผมก็เลยมีทฤษฎีส่วนตัวครับว่า การจะเกิด breakthrough ทาง app ในโทรศัพท์ได้ ความเร็วเน็ตเพิ่ม 10 เท่าเนี่ยมันเรื่องปรกติมากๆครับ ถ้าจะทะลุ ต้อง 200 เท่าครับ ซึ่งเผอิญมันดูเยอะเพราะเป็น log scale ซึ่งมันก็แปลเป็น "G" แล้วกันครับว่า ต้องเพิ่ม 2.3G ถึงจะ breakthrough
แต่ผมฟันธงว่าพวกเราไม่เดือดร้อนอะไรมากหรอกกับการไม่มี 3G วันนี้ครับ
/* แต่อย่าให้พลาด "4.3G" แล้วกัน ไม่งั้นบรรลัยแน่นอน */