วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สรุปสั้นๆ ของน้ำท่วม ๒๕๕๔

ต้นฉบับพร้อมความเห็นใน Facebook

ข้อสรุป เหตุผลน้ำท่วม ๒๕๕๔

ขอสรุปสั้นสุด "ขาดธรรมาภิบาล"

แต่ถ้าจะขยายก็คือ
  • น้ำไม่ต่างจากปี ๒๕๓๘ (แต่ตอนนั้น ไม่มีการจัดการ ไม่มีคันกั้นมากมาย มันก็ไม่ได้เละเทะแบบนี้)
  • ให้ข่าวทุกวันว่าจัดการได้ (ดูเอาเองตามข้อเท็จจริง)
  • ปิดข้อเท็จจริงจนหยดสุดท้าย
  • ให้ข้อมูลโดยไร้หลักวิชาการ (เช่น "ผมเดาเอานะ...")
  • มีข้อมูลที่ดีพอต่อการตัดสินใจ แต่... (ตามเว็บกรมชล ก็ได้ข้อเท็จจริงตามนั้นจริงๆ แต่การจัดการก็นะ หน่อมแน้ม สุดๆ)
  • ให้ความสำคัญแก่นโยบายที่หาเสียงมากกว่าข้อเท็จจริง (ปล่อยน้ำเข้าทุ่งก่อนหน้านี้ ก็คงผิด concept "ลาก่อน น้ำท่วม น้ำแล้ง" ... ไม่อยากจะเดาว่าเดี๋ยวก็แล้งอีก ดูจาก performance รอบนี้)
  • บริหารจัดการโดยใช้อำนาจ ตามผลของฐานเสียง (ขาใหญ่สั่งห้ามท่วมที่โน่นที่นี่ จนทำอะไรไมได้)
  • ประเทศไร้ผู้นำที่เก่ง (มีแต่ผู้อยากนำ)

ทำไมวิศวกรคุยกะใครไม่รู้เรื่อง

ต้นฉบับเป็น Status Update ใน Facebook

วิศวกรคุยกับใครไม่รู้เรื่อง

จริงๆจั่วหัวไว้อย่างนั้นแหละครับ ไม่ได้หมายถึงวิศวกรอย่างเดียวหรอกครับ ทุกอาชีพที่คิดแต่มุมของตัวเองไม่มองจากมุมของคนอื่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดแหละ ผมเขียนไว้ก่อนใน Facebook แต่จะเอามาเก็บไว้อ่านง่ายๆที่นี่ครับ

การพยากรณ์น้ำท่วม ให้ชาวบ้านฟัง ควรบอกเหมือนพยากรณ์อากาศในการบอกว่า อาจท่วมตรงไหน เท่าไร ด้วยโอกาสกี่เปอร์เซนต์

ไม่ใช่ใช้ ภาษาวิศวกร (เช่น โมเดล) และ อธิบายด้วย "กรณีเลวร้ายสุด" (ซึ่งมักใช้เฉพาะตอนออกแบบทางวิศวกรรม ที่ไม่ให้ตึกถล่ม เขื่อนพัง)

โดยแน่นอน เราต้องไม่ประมาทโดยใส่ใจสิ่งที่เลวร้ายที่สุด แต่การพยากรณ์จะต้องใช้ข้อมูลจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นไปได้มากที่สุดมา รายงาน

คิดดูเอานะว่า ถ้ากรมอุตุ บอกว่า "ฝนที่ตกอยู่เมื่อวานกลับทวีความรุนแรงเป็นไต้ฝุ่น" ถูกต้อง โอกาสมันเป็นไปได้ แต่มันมีโอกาสเท่าไรชาวบ้านก็จะคิดได้เอง แต่เรื่องน้ำท่วมชาวบ้านไม่มีข้อมููลนะ

หวังว่าจะแชร์กันไปถึง คนที่เขาพูดออกทีวีทุกวัน

Worst-case Scenario ของน้ำท่วมกรุงเทพ ๒๕๕๔

ต้นฉบับพร้อมข้อคิดเห็นของเพื่อนๆเขียนไว้ที่ Facebook วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๑๑:๐๕ ... ก่อนที่น้ำจะท่วมกรุงเทพ

สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดที่เป็นไปได้

ขอทำ worst-case scenario จากสถานการณ์ปัจจุบันนะครับ อ่านแล้วอย่าตระหนก แค่ให้คิดตามและป้องกัน มองโลกในทางที่ดี แต่ต้องไม่ประมาทต่อสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายที่สุด ซึ่งเผื่อรัฐบาลยังจินตนาการถึง scenario นี้ ผมก็ขอช่วยคิดให้

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น คือ ติด deadlock ครับ ซึ่งดูเหมือนกำลังจะเกิด เพราะ highway กำลังจะกลายเป็นที่จอดรถ และสะพานข้าม กทม ไปฝั่งตะวันตกขาดไปสองสะพานแล้ว (นนทบุรีและพระรามสี่) แถมไม่มีอะไรกินโดยเฉพาะน้ำสะอาด

ถ้าหากว่า ถ้ากรุงเทพเกิดเป็นเกาะขึ้นมาโดยถนนออกนอกเมืองเส้นสุดท้ายที่จะลงใต้หรือตะวันออกถูกตัดขาด อาหารจะส่งมาไม่ได้ ออกจากเกาะก็ไม่ได้ คนมาช่วยก็ไม่ได้ จริงๆแล้วคนจะมาช่วยก็แทบไม่มี

สิ่งที่เกิดขึ้นที่ New Orleans คือ คนตายไปร่วม ๒๐๐๐ จากการขาดอาหาร ที่พัก และน้ำสะอาด

ถ้าจะไม่ให้เกิดอย่างที่ว่า ต้องกันน้ำประปาให้ได้ และต้องเคลียร์ highway/สะพาน สำหรับลงใต้/ตะวันตก ให้มากพอที่จะขนคนออกจากกรุงเทพก่อนจะ panic สุดๆ

อีกที ไม่อยากให้ตระหนกนะครับ อยากให้มีสติกัน

นักวิชาการกับการชี้นำสังคมในปี ๒๕๕๔

ต้นฉบับพร้อมข้อคิดเห็นของเพื่อนๆ เขียนไว้ใน Facebook

เหตุผลที่นักวิชาการ "ตัวจริง" ไม่ค่อยอยากให้ข้อคิดเห็นเชิงสาธารณะ

  • คิดว่าให้ไปแล้วรัฐอาจไม่ฟัง แถมอาจจะโดนอาวุธหนักถล่ม
  • แห็นว่าพวกออกสื่อมีแต่ให้นักวิชาการที่ไม่รู้จริงแต่ลีลาดี เลยกลัวคนมือดีในวงการจะเหมารวมว่า "อยากดัง" ด้วย
  • มีชื่อเสียง เป็นภัยรูปแบบหนึ่ง สำหรับนักวิชาการ (ลองมองหาคนที่มีชื่อเสียงในมหาลัยและเก่งจริงในสาขาก็มีเยอะครับ เขาก็รู้มือกัน คนนอกต่างหากไม่รู้ แต่นักข่าวควรรู้)
  • เพราะรู้ทั้งรู้คนเก่งในหน่วยงานรัฐตัวจริงก็มีเยอะแยะ แต่พวกนั้นไม่ได้โต หรือไม่ใช่พวกนักการเมือง ไม่อยากข้ามหน้าคนที่ตนนับถือ
  • ยังจำเป็นต้องพึ่งพาจากหน่วยงานรัฐ ในโอกาสอื่น
  • เสนอข้อมูลให้คนเกษียณแล้วพูดแทน จะปลอดภัยกว่า
  • รู้ตัวว่าพูดไม่เก่ง เดี๋ยวชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง
  • กลัวโดนจับเป็นแพะ
  • ให้น้ำหนักจรรยาบรรณมากเกินประโยชน์สาธารณะ เพราะไม่มั่นใจ ๑๐๐% ว่าสิ่งที่พูดจะเวิร์ค
  • ช่วยเบื้องหลังดีกว่า เพราะมักคิดว่าถ้าเห็นเรามีคุณค่าเขาก็มาเองแหละ
  • อีกที นักวิชาการไทยที่เก่งๆ คนวงในเขาก็รู้มือ งานก็เพียบ ช่วยงานประเทศชาติเบื้องหลังตลอด แต่สาธารณะไม่รู้
ตัวอย่างครับ เรื่อง EM Ball ช่วงน้ำท่วม ๒๕๕๔

    วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    แผนการสอน Information Theory

    204552 Information Theory and Coding

    Prerequisite

    None

    Schedule

    Tuesday 13-16; Section 11 (Room 501)

    Instructors

    Associate Professor Dr.Punpiti Piamsa-nga (pp@ku.ac.th)

    Course Description

    Mathematical model for information channel and sources, algebraic theory of cyclic codes, error-control procedures and circuits, and application of computer and data transmission systems.

    Grading

    Midterm (40  %)  Final (50 %)  Class participation (10%)

     

    Score<40
    F
    40< Score49
    D
    50< Score54
    D+
    55< Score64
    C
    65< Score69
    C+
    70< Score74
    B
    75< Score79
    B+
    Score > 80
    A

    Textbook

    Thomas M. Cover, Joy A. Thomas, Elements of Information Theory, 2nd Edition ISBN: 978-0-471-24195-9, 776 pages July 2006, ©2006

    (Required)
    Escolano Ruiz, Francisco, Suau Pérez, Pablo, Bonev, Boyán Ivanov, Information Theory in Computer Vision and Pattern Recognition 2nd Printing., 2009, XVIII, 394 p.  ISBN: 978-1-84882-296-2

    Readings

    Research papers distributed in class

     

    Schedule

    #
    Date
    Lectures
    1
    Nov 2
    Entropy, Relative Entropy, and Mutual Information
    2
    Nov 9
    Asymptotic Equipartition Property
    3
    Nov 16
    Entropy Rates of a Stochastic Process
    4
    Nov 23
    Data Compression
    5
    Nov 30
    Gambling and Data Compression
    6
    Dec 7
    Channel Capacity
    7
    Dec 14
    Differential Entropy

    Dec 21
    Midterm
    8
    Dec28
    Gaussian Channel
    9
    Jan 4
    Rate Distortion Theory
    10
    Jan 11
    Information Theory and Statistics
    11
    Jan 25
    Maximum Entropy
    12
    Feb 1
    Universal Source Coding (Kaset Fair Week)
    13
    Feb 8
    Kolmogorov Complexity
    14
    Feb 15
    Network Information Theory
    15
    Feb 22
    Information Theory and Portfolio Theory

    วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

    Final Exam: Computer Human Interfaces 1/2010 (CPE)


    Instructions
    • Write your answer in either Thai or English.
    • Closed book!
    • Closed note!
    • There are 8 questions. Each has 10 scores. Answer all questions in given exam booklets. Do them all. (totally, 40% of the class evaluation)

    Guidelines for answering the questions

    • You obviously need your common senses to answer the exam.  However, even though you have a good one, it is not enough to get scores.
    • References, evidences, causes, rules, laws, theories, and your justifications are supposed to be mentioned. 
    • Any design scripts without good explanation will not get good scores.
    • You should include an example as part of your answer in an appropriate application of your choice (if not specified).
    • Read the question carefully!

    Exam


    1. Information search is one of the most important parts of websites. Explain the general framework of the search mechanism. 
    2. How can we search information of multimedia documents?  What are the challenges?
    3. What parts of DBMS play an important role in information search?  And, what parts they cannot do?
    4. What are the challenges for information visualization?
    5. Supposedly, you are an academic adviser of KU.  You have to supervise many students who may take different courses, get different grades, and stay in different statuses (normal, probation, retried, possibly honors, graduated, graduated with honor).  Design information visualization system in order to ease the supervising task for you (as an adviser.)
    6. If you have to design a cell phone, explain the impact of response time to the design of user interface and the satisfaction of users’.
    7. Design a job resume for yourself in order to get a position of a computer engineer.  Make a good field layout and write excellent resume content.  Explain what your future boss will think about your resume. You can put false (looks likely to be true) information in order to make your resume look very attractive but you have to underline it.
    8. In class, you have experience in mocking up your only own design (such as keyboard) and building only familiar scenarios (such as university registration).  If you are an engineer who is assigned to design a user-interface of an information system that you have never had experiences before, what you would make your own project is successfully done and how you would assess the project results.  

    -END -

    วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

    วืด 3G ไม่ว่าแต่ อย่าให้พลาดอันนี้นะ

    ผมไม่ค่อยสบายใจกับการที่ 3G ถูกดองเค็มปี๋ เห็นคนเสียดายกันยกใหญ่ และเผอิญดูรายการกบนอกกะลาซึ่ง นำเสนอความจำเป็น "เทียม" ของ 3G แล้วรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นรายการสปอนเซอร์ หรือ เป็นสารคดีจริง ผมรู้สึกถึงการสร้าง demand เทียมของ 3G ให้สังคมครับ เนื่องจากรายการพูดถึง

    1. application ส่วนใหญ่ ที่พูดถึงในรายการ ไม่ต้องมี 3G ก็ใช้งานได้ อยู่แล้ว
    2. พฤติกรรมการใช้ text ของไทยกะญี่ปุ่นต่างกัน 
      • ญี่ปุ่นห้ามใช้โทรศัพท์พูดระหว่างอยู่บนรถไฟ
      • ถามคนญี่ปุ่นโทรศัพท์ 3G ที่มีข้อมูลส่วนตัวหายแล้วทำไง คนญีปุ่นตอบว่ามันมี GPS ตามได้ว่าอยู่ที่ไหน ในคนไทยคงต้องการคำตอบว่าสิทธิส่วนบุคคลจะถูกละเมิดหรือไม่ซึ่งคนญี่ปุ่นเขาไม่มีปัญหานี้เพราะเขาคิดว่ามันไม่เกิดกะเขา 
    ทีนี้ ทำไมเราถึงอยากมี 3G ก็คงเป็นเพราะคุณต้องการแบนด์วิท 7 Mbit เป็นหลักแหละ แต่ว่า
    1. เราคิดว่าจะมี apps อะไรต่างจากปัจจุบันมากมาย ปัจจุบันเราอยู่มหาวิทยาลัยใช้ wifi 54Mbit เราก็ไม่มี app อะไรพิสดารให้ใช้จากความเร็วของ wifi มากนัก
    2. การที่เรามีช้ากว่าคนอื่น ก็น่าจะไปลองดูนะว่าผ่านมาสามปีแล้วคนอื่นมีอะไร ใช่ครับ ไปญี่ปุ่นคุณเห็น apps ใหม่ๆเพียบ แล้วที่อื่นในโลกหละทำอะไรกันกะ 3G เช่นที่อเมริกา 
    3. นึกดูดีดีมี app อะไรที่คุณโหลดมาใช้บน iPhone หรือ Android ของคุณแล้วมันจำเป็นต้องใช้ 3G อย่างมากสุดๆ ผมเห็นอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ 3G คือ navigation/map คุณลองดูแล้วกันนะว่าคุณใช้ wifi โหลดผ่าน Google map แล้วมันเร็วแค่ไหนก็เห็นๆกันอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ ทำไม พวก navi ทั้งหลายต้องโหลดแผนที่ off-line ไว้ก่อน
    4. คุณจะโหลดหนัง HD มาดูบนมือถือหรือครับ
    5. แน่นอน 7 Mbit โหลด youtube 15 นาทีดูได้ ถามว่าคุณโหลด youtube ผ่าน wifi ที่มหาลัย แล้วมันดูได้ต่อเนื่องไม๊ 
    6. โอเค โหลด mp3 ขนาด 4-5Mได้สะดวก คำถามก็คือคุณต้องการจริงเหรอ ในมือถือคุณมีเพลงกี่เพลงแล้วครับ ผมเดาว่า เพลงในเครื่องคุณมีเป็นหมื่นเพลง ฟังทั้งปีก็ฟังไม่หมด 
    7. คุณอาจมีหนังเป็นหมื่นเรื่องเพิ่มเติมในมือถือคุณ ซึ่งก็คงจะไม่ได้ดู ซึ่งประเด็นนี้คุณทำ offline sync ซะมากกว่า
    ใครได้/เสียประโยชน์ในการมีหรือไม่มี 3G
    1. แน่นอน ผู้บริโภคเสียประโยชน์แน่ครับ และยิ่งถ้าหากไม่มีการแข่งขันเสรียิ่งไปกันใหญ่ 
    2. เมื่อต้องมี 3G บริษัทต้องลงเงินลงทุนเพิ่มเยอะมาก แต่บริษัทก็ต้องพร้อมลงทุนเพิ่มเพราะไม่อยากเสียโอกาสทางธุรกิจ แต่ถามว่า เขาจะคิดค่าบริการมากกว่าเดิมได้มากเท่าไรเชียวครับเพื่อครอบคลุมการลงทุนใหม่ครั้งนี้ แรกๆอาจจะได้ เหมือนตอนมีมือถือขายกันใหม่ ใช้กันเดือนหละเท่าไรกันหละครับ จำกันได้ไม๊ แล้วดูสิครับเมื่อเข้าถึง mass แล้วราคาเท่าไรครับ ผมเดาว่าค่าบริการ 3G ในระยะที่ stable แล้วก็จะไม่ต่างจาก gprs ในปัจจุบันและ จะไม่มีทางแพงกว่า Home ADSL ในขณะนั้นครับ 
    3. สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนี้ ผมว่าลึกๆเขาก็สบายใจระดับหนึ่ง ที่ถูกปิดสนามแข่ง อย่างน้อยเงินลงทุนก็เอาไปทำอื่นก่อนได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะตามใครไม่ทันหรือแซงในการแข่งขันสนามประเทศไทย
    4. ถ้าไม่มี 3G คนขาย 3G infrastructure คงเซ็งเพราะ ขายของล๊อตใหญ่ครั้งสุดท้ายคือขายระบบ GSM เมื่อกี่ปีมาแล้วหว่า เครื่องก็ดันยังไม่เจ๊ง คนใช้ก็ยัง happy ที่จะใช้ เลยสร้างความต้องการผู้บริโภคโดยการเสนอ apps ใหม่ๆให้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มี apps แบบ โดนใจไม่ใช้ตายแน่ สักอย่างเดียวครับ
    พูดไป ผมมองโลกแง่ร้ายจัง ผมบอกว่าผมมองจากประวัติศาสตร์การก้าวข้ามเทคโนโลยีครับ ผมเปรียบเทียบให้อย่างนี้นะครับ
    • การมี 2G (GSM/CDMA) มันก็เหมือนการกระโดดจาก โมเด็ม 54K มาเป็น LAN 10Mbit/100Mbit แหละครับ คุณจะรู้สึกดีมากๆกับมัน เพราะมันทะลุขีดจำกัดบางอย่าง อย่างเห็นได้ชัดครับ แรกๆใช้ 10M แล้วสักพักก็มีการเปลี่ยนมาเป็น 100M ซึ่งผมคิดว่าช่วงนั้นการเปลี่ยนความเร็วขึ้น 10 เท่าก็ไม่ทำให้ชีวิตคุณดีกว่าเดิมมากมายอะไร
    • แต่การกระโดดจาก 2G เป็น 3G มันก็เหมือนกับคุณมี LAN 100M อยู่แล้วมีคนบอกว่าคุณจะเสียโอกาสอย่างมากถ้าคุณไม่ปรับเป็น LAN 1GB ก็คิดดูเอาว่าคุณได้อะไรเพิ่มเติม
    • มีคนบอกผมว่า คุณจะได้โอกาสที่จะได้ app ดีๆเพิ่มขึ้นครับ จริงครับ แต่ผมอัพ LAN เป็น 1G แล้วผมก็ยังดู youtube กระตุกเหมือนเดิม เพราะ public infrastructure มันไม่ได้อัพเกรดตามมานี่ครับ มันต่างกันกับตอนใช้โมเด็มครับ ตอนนั้นดู youtube ไม่ได้เลย
    • จากเรื่อง เปลี่ยนโมเด็ม มาเป็น LAN ผมก็เลยมีทฤษฎีส่วนตัวครับว่า การจะเกิด breakthrough ทาง app ในโทรศัพท์ได้ ความเร็วเน็ตเพิ่ม 10 เท่าเนี่ยมันเรื่องปรกติมากๆครับ ถ้าจะทะลุ ต้อง 200 เท่าครับ ซึ่งเผอิญมันดูเยอะเพราะเป็น log scale ซึ่งมันก็แปลเป็น "G" แล้วกันครับว่า ต้องเพิ่ม 2.3G ถึงจะ breakthrough
    แม้ว่าการที่ 3G ถูกล้มประมูลไปแบบนี้ มันสะท้อนความไม่เข้าท่าของระบบบริหารไทย เราจะมีหรือไม่มีเอกชนก็ลงทุนไป ผู้บริโภคก็ใช้วิจารณญาณกันไป ความไม่เข้าท่าของ องค์กรประเทศ CAT และ TOT จะอยู่ได้หรือไม่ได้ ก็ต้องปล่อยๆกันไปตามกระแสโลก  เบื่อที่จะบ่น เซ็งที่จะฟัง

    แต่ผมฟันธงว่าพวกเราไม่เดือดร้อนอะไรมากหรอกกับการไม่มี 3G วันนี้ครับ

    /* แต่อย่าให้พลาด "4.3G" แล้วกัน ไม่งั้นบรรลัยแน่นอน */